การบริหารความเสี่ยงในตำแหน่งและพอร์ตการลงทุน

การจัดการความเสี่ยง เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการควบคุมการขาดทุนและปกป้องพอร์ตการลงทุน ระบบนี้ประกอบด้วย Position Risk หรือความเสี่ยงในแต่ละตำแหน่ง และ Portfolio Risk ซึ่งเป็นความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต การจัดการความเสี่ยงทั้งสองประเภทนี้เป็นแนวทางที่ช่วยลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสในการรักษาผลตอบแทนในระยะยาว นักลงทุนสามารถวางแผนการจัดการความเสี่ยงเพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการนี้ช่วยให้พอร์ตการลงทุนมีความเสถียรและสามารถรับความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้

Position Risk ในการควบคุมความเสี่ยงต่อตำแหน่ง

Position Risk เป็นการกำหนดขนาดของความเสี่ยงในแต่ละตำแหน่ง แบ่งออกเป็น Initial Risk และ Ongoing Risk โดย Initial Risk คือความเสี่ยงที่คำนวณขึ้นเพื่อกำหนดขนาดการลงทุนในตำแหน่งใหม่ และ Ongoing Risk คือความเสี่ยงที่พิจารณาจากการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด นักลงทุนสามารถใช้ Stop Loss แบบ Static หรือ Dynamic เพื่อควบคุม Position Risk ได้อย่างเหมาะสม แนวทางนี้ช่วยให้พอร์ตการลงทุนสามารถรักษาความเสถียรได้ในระยะยาว

Portfolio Risk สำหรับการควบคุมความเสี่ยงรวมของพอร์ต

Portfolio Risk หรือความร้อนของพอร์ตการลงทุน (Portfolio Heat) คือการวัดความเสี่ยงรวมของพอร์ต โดยการรวมความเสี่ยงในแต่ละตำแหน่งเข้าด้วยกัน นักลงทุนมักจะกำหนด Acceptable Portfolio Heat (APH) ไว้ เช่น ที่ 15-25% ของ Equity ทั้งหมด การไม่ให้ PH เกิน APH จะช่วยลดโอกาสขาดทุนที่หนักเกินไปในพอร์ต การจำกัดความร้อนของพอร์ตเป็นแนวทางที่ช่วยให้พอร์ตมีความสมดุลและลดผลกระทบจากความเสี่ยงสูงที่อาจเกิดขึ้น

การใช้ Position Sizing เพื่อคำนวณขนาดการลงทุน

Position Sizing เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักลงทุนกำหนดจำนวนหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ควรลงทุนตามความเสี่ยงที่กำหนดไว้ การใช้ Position Sizing ควบคู่กับการตั้ง Stop Loss ช่วยให้มั่นใจว่าการลงทุนแต่ละตำแหน่งจะอยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัย นักลงทุนสามารถใช้ % Fixed จากราคาเริ่มต้นหรือ Current Price เพื่อคำนวณขนาดการลงทุนได้อย่างแม่นยำและควบคุมความเสี่ยงได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ วิธีนี้ช่วยให้พอร์ตมีความยืดหยุ่นในสถานการณ์ตลาดต่างๆ

การประยุกต์ใช้กฎความเสี่ยง 2% และ 6%

Dr. Alexander Elder แนะนำการใช้กฎ 2% และ 6% เพื่อช่วยจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม กฎ 2% จะจำกัดความเสี่ยงในแต่ละตำแหน่งให้อยู่ที่ 2% ของ Equity ทั้งหมด หมายความว่าหากมีการขาดทุน นักลงทุนจะไม่สูญเสียมากเกินไปในแต่ละการลงทุน กฎ 6% จะจำกัดความเสี่ยงรวมในเดือนหนึ่งให้อยู่ที่ 6% ของ Equity ทั้งหมด หากมีการขาดทุนถึง 6% นักลงทุนควรหยุดการลงทุนเพื่อป้องกันการขาดทุนเพิ่มเติมและรักษาความมั่นคงของพอร์ตการลงทุน

การปรับกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสม

นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงให้เข้ากับสภาพตลาด โดยการวางแผนที่สามารถรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น นักลงทุนสามารถเลือก Scale In หรือ Scale Out เพื่อปรับขนาดของการลงทุนเมื่อความเสี่ยงในพอร์ตถึงระดับที่ตั้งไว้ การทดสอบกลยุทธ์ผ่านการ Backtest ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินว่าการคำนวณความเสี่ยงและการกำหนดขนาดการลงทุนมีความถูกต้องและสามารถปรับใช้ได้จริงในสภาวะตลาดต่างๆ

คำถาม

  1. วิธีการคำนวณ Initial Risk แตกต่างจาก On-going Risk อย่างไร?
  2. Maximum Portfolio Heat และ Acceptable Portfolio Heat ต่างกันอย่างไร?
  3. การควบคุม Portfolio Heat ที่เกินกำหนดทำได้อย่างไร?
  4. ระบบ scoring ในการเลือก position ควรพิจารณาปัจจัยใดบ้าง?
  5. การทำ scaling out ในกรณี risk สูงควรพิจารณาอย่างไร?

สรุป

การบริหารความเสี่ยงด้วยการใช้ Position Risk และ Portfolio Risk ช่วยให้นักลงทุนสามารถป้องกันการขาดทุนร้ายแรง กฎ 2% ช่วยจำกัดความเสี่ยงในตำแหน่ง ขณะที่กฎ 6% จำกัดความเสี่ยงรวมของพอร์ต นอกจากนี้ การใช้ Position Sizing และการตั้ง Stop Loss ยังช่วยสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่นและมั่นคงในระยะยาว การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการบริหารพอร์ตและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนได้

คำสำคัญ: การจัดการความเสี่ยง, Position Sizing, กฎ 2%, กฎ 6%, Stop Loss

อ้างอิง: D303 Position and Portfolio Risks