การจัดการความเสี่ยง เป็นหัวใจสำคัญของการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพอร์ตของนักลงทุนมีสินทรัพย์หลากหลาย Dr. Van K. Tharp แนะนำกลยุทธ์การจัดการเงินแบบหลายชั้นเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน โดยการแบ่งการจัดการออกเป็นหลายขั้นตอน เช่น Initial Risk, On-going Risk และ Portfolio Heat แนวทางนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับขนาดของ Position ให้เหมาะสมกับความผันผวนของตลาดและลดโอกาสการขาดทุนที่ไม่จำเป็น
Initial Risk และ On-going Risk สำหรับการจัดการ Position
Initial Risk เป็นการคำนวณความเสี่ยงเริ่มต้นที่นักลงทุนตั้งไว้สำหรับการเปิด Position ใหม่ ซึ่งช่วยควบคุมขนาดการลงทุนตั้งแต่เริ่มแรก โดยจะกำหนดขอบเขตของความเสี่ยงที่นักลงทุนสามารถยอมรับได้ การใช้ Initial Risk ช่วยให้การลงทุนมีความปลอดภัยขึ้น ในขณะที่ On-going Risk เป็นการควบคุมความเสี่ยงระหว่างที่ Position ยังคงเปิดอยู่ โดยพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาด ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อราคามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การประเมิน Initial Risk และ On-going Risk พร้อมกันทำให้พอร์ตการลงทุนมีความมั่นคงและยืดหยุ่นมากขึ้น
การคำนวณ Portfolio Heat เพื่อควบคุมความเสี่ยงโดยรวม
Portfolio Heat คือการวัดระดับความเสี่ยงรวมของพอร์ต โดย Dr. Tharp แนะนำให้ใช้ % Acceptable Drawdown (% ADD) และ % Maximum System Drawdown (% MSDD) เพื่อควบคุมขอบเขตของความเสี่ยงรวมทั้งหมด Portfolio Heat จะรวมเอาความเสี่ยงจากทุก Position ในพอร์ตเข้าด้วยกัน การกำหนดค่าเหล่านี้ช่วยลดโอกาสการขาดทุนอย่างหนักในพอร์ต ทั้งยังทำให้พอร์ตมีความเสถียรมากขึ้นในระยะยาว แนวทางนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงรวมที่เกิดขึ้นจริงได้
Equity Models ที่เหมาะสมตามสถานะการเงิน
Dr. Tharp แนะนำการใช้ Equity Models ที่หลากหลาย ได้แก่ Total Equity, Secured Equity และ Cash Equity เพื่อใช้ประเมินสถานะทางการเงินและวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสม Total Equity ใช้ในการคำนวณมูลค่ารวมของพอร์ต ซึ่งจะรวมทั้งเงินสดและสินทรัพย์ที่ลงทุน ขณะที่ Secured Equity ช่วยคุ้มครองการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นใน Position ที่มีความเสี่ยงสูง ส่วน Cash Equity ใช้ประเมินสภาพคล่องในพอร์ต โดยช่วยให้มั่นใจว่ามีเงินสดเพียงพอสำหรับการปรับขนาด Position เพิ่มเติมหรือรองรับการขาดทุนได้
การตั้งค่า Stop Loss และ Stop Trailing เพื่อควบคุมการขาดทุน
การตั้งค่า Stop Loss และ Stop Trailing เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความเสี่ยงใน Position ต่าง ๆ โดย Stop Loss เป็นการกำหนดจุดขายล่วงหน้าที่ช่วยลดการขาดทุนหากราคาลดลงถึงระดับที่ยอมรับได้ ในขณะที่ Stop Trailing จะปรับตามแนวโน้มของตลาดเพื่อล็อคกำไรและป้องกันไม่ให้ขาดทุนมากเกินไป การตั้งค่า Stop Triggers เหล่านี้ทำให้การลงทุนมีความมั่นคงและสามารถรักษาผลกำไรที่ได้รับ การใช้ Stop Loss และ Stop Trailing ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนในตลาดและรักษาสถานะพอร์ตการลงทุนในระยะยาว
การรวม Combinations ของกลยุทธ์การจัดการเงิน
การใช้ Combinations ของ Equity Models และ Sizing Models ร่วมกัน ทำให้นักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสมกับสภาวะตลาด Dr. Tharp แนะนำให้ใช้ % Fixed, % Risk, และ % Volatility ควบคู่กับการตั้งค่า Stop Loss และ Stop Trailing เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงในพอร์ต ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การใช้ % Volatility สามารถช่วยลดขนาด Position เพื่อป้องกันการขาดทุนหนักได้ การรวมกลยุทธ์เหล่านี้ทำให้การลงทุนมีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่น ซึ่งสามารถรองรับความผันผวนของตลาดและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน
การวางแผนการจัดการเงินในระยะยาวและการทดสอบกลยุทธ์
การวางแผนการจัดการเงินที่ครอบคลุมเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการลงทุนในระยะยาว Dr. Tharp แนะนำให้ทดสอบกลยุทธ์ผ่านการ Backtest เพื่อปรับปรุง Equity Model ที่เลือกให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนในปัจจุบัน การทำ Backtest ช่วยให้นักลงทุนเห็นถึงผลลัพธ์ของการจัดการเงินในสถานการณ์ต่าง ๆ และสามารถปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น การวางแผนการจัดการเงินในระยะยาวที่ดีทำให้นักลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนอย่างมั่นคงและลดความเสี่ยงในตลาดที่ผันผวน
คำถาม
- การจัดลำดับความสำคัญของแต่ละ layer ควรพิจารณาอย่างไร?
- การผสมผสาน model ต่างๆ เข้าด้วยกันควรคำนึงถึงอะไรบ้าง?
- ทำไมต้องรักษาความเรียบง่ายของ Method และ Market?
- การทดสอบ combination ต่างๆ ควรมีขั้นตอนอย่างไร?
- การปรับ combination ให้เข้ากับสไตล์การเทรดทำได้อย่างไร?
สรุป
กลยุทธ์การจัดการเงินแบบหลายชั้นของ Dr. Van K. Tharp เน้นการใช้ Initial Risk, Portfolio Heat, และ Equity Models เพื่อสร้างพอร์ตที่มั่นคง การตั้งค่า Stop Loss และ Stop Trailing ช่วยรักษาผลกำไรและลดความเสี่ยงจากการขาดทุน การรวมกลยุทธ์แบบ Combinations ของการจัดการเงินเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน
คำสำคัญ: การจัดการความเสี่ยง, Portfolio Heat, Initial Risk, Stop Loss, Equity Models
อ้างอิง: D306 Layers of Money Management by Dr Van K Tharp
โพสนี้ถูกสรุปสั้นๆโดย A.I. เพื่อใช้ทวนจาก VDO อ้างอิง ผู้เรียนควรต้องดูวิดีโอนั้นๆ