โมเดล Position Sizing เพื่อการจัดการเงินทุนโดย Dr. Tharp

การจัดการความเสี่ยง และการกำหนดขนาดการลงทุนเป็นหลักการสำคัญในโมเดลการลงทุน โดย Dr. Van K. Tharp แนะนำโมเดล Position Sizing หลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยนักลงทุนควบคุมความเสี่ยงและปรับแต่งกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับ Equity Model ที่เลือก การใช้โมเดล Position Sizing ช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตัดสินใจได้ว่าควรใช้เงินทุนเท่าใดในแต่ละ Position เพื่อสร้างความสมดุลในพอร์ตและลดความเสี่ยงในการขาดทุน

Fixed Shares และ Fixed Value: ความเรียบง่ายในการใช้งาน

Fixed Shares เป็นโมเดลที่เหมาะกับหุ้นที่มีราคาคล้ายคลึงกัน โดยกำหนดจำนวนหุ้นที่ซื้อในแต่ละ Position เท่ากัน อย่างไรก็ตาม Fixed Shares มีข้อจำกัดในเรื่องความยืดหยุ่นเมื่อราคาหุ้นต่างกันมาก ส่วน Fixed Value นั้นไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของราคาหุ้น ทำให้เหมาะสมกับพอร์ตที่มีหลากหลายมากขึ้น ทั้งสองโมเดลนี้ต้องการการตั้งค่า Max Open Positions เพื่อป้องกันไม่ให้พอร์ตมีความเสี่ยงสูงเกินไปและรักษาความสมดุลในพอร์ตการลงทุน

% Fixed of Equity และ % Risk of Equity

โมเดล % Fixed of Equity ช่วยให้นักลงทุนกำหนดขนาดของ Position ตามเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดจาก Equity ทั้งหมด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ % Risk of Equity ขึ้นอยู่กับการคำนวณ Initial Risk ซึ่งช่วยปรับขนาดของ Position ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โมเดลนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมความเสี่ยงในแต่ละการลงทุนและสามารถวางแผนความเสี่ยงได้อย่างรัดกุม

โมเดล % Volatility of Equity สำหรับตลาดที่มีความผันผวน

โมเดล % Volatility of Equity ใช้ความผันผวนของตลาดเป็นตัวกำหนดขนาดของ Position ความเสี่ยงจะขึ้นอยู่กับการคำนวณค่า Volatility ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์ตามสภาวะตลาดได้อย่างยืดหยุ่น โดยควรระวังไม่ให้ขนาดของ Position ใหญ่เกินไปและควรตรวจสอบขนาด Position ให้สอดคล้องกับ Equity Model ที่เลือกเพื่อให้พอร์ตมีความปลอดภัยในสภาพตลาดที่ผันผวน

Max Open Positions และการควบคุมโอกาสในการลงทุน

การตั้งค่า Max Open Positions เป็นการจำกัดจำนวน Position ที่เปิดในพอร์ตการลงทุน ซึ่งช่วยเพิ่มความสมดุลและลดโอกาสการขาดทุนจากการกระจายการลงทุนที่มากเกินไป โดยเฉพาะสำหรับ Fixed Shares และ Fixed Value ซึ่งต้องการการกำหนด Max Open Positions อย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการสูญเสียที่มากเกินไป และยังคงรักษาโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว

การเลือกโมเดล Equity ตามระดับความเสี่ยง

Dr. Tharp แนะนำให้นักลงทุนเลือกใช้โมเดล Equity ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น โมเดล Conservative สำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคง หรือโมเดล Aggressive สำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงสูงเพื่อตอบแทนที่สูงขึ้น นักลงทุนสามารถเลือกตั้งค่าความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น 5% สำหรับ Conservative และ 10% สำหรับ Aggressive เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการลงทุน

การตั้งค่า Stop Loss และ Stop Trailing เพื่อควบคุมความเสี่ยง

การตั้ง Stop Loss และ Stop Trailing เป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนลดความเสี่ยงจากการสูญเสียในแต่ละ Position โดยการกำหนดจุดขายล่วงหน้าสำหรับการปิด Position ที่ขาดทุนหรือการปรับจุด Stop Trailing เพื่อควบคุมการขาดทุนในกรณีที่ราคาลดลง เทคนิคนี้ช่วยป้องกันการขาดทุนสูงเกินไปและช่วยให้นักลงทุนมั่นใจในความมั่นคงของพอร์ตการลงทุนในระยะยาว

คำถาม

  1. ข้อจำกัดของ Fixed Value Model มีอะไรบ้าง?
  2. การใช้ Volatility-based Position Sizing ต้องระวังเรื่องใด?
  3. เมื่อใดควรเลือกใช้ Percentage-based Position Sizing?
  4. การกำหนด MaxOpenPositions ที่เหมาะสมพิจารณาจากอะไร?
  5. การปรับ Position Size ตามขนาด Equity ที่เปลี่ยนแปลงควรทำอย่างไร?

สรุป

โมเดลการกำหนดขนาดการลงทุนโดย Dr. Tharp เช่น Fixed Shares, Fixed Value, % Fixed of Equity, และ % Volatility of Equity ช่วยให้นักลงทุนสามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ Max Open Positions ช่วยให้พอร์ตมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี ในขณะที่การตั้ง Stop Loss และ Stop Trailing ทำให้การจัดการความเสี่ยงมีความมั่นคงและปลอดภัยยิ่งขึ้น แนวทางเหล่านี้สนับสนุนให้นักลงทุนสามารถรักษาความสมดุลและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน

คำสำคัญ: การจัดการความเสี่ยง, Fixed Shares, Fixed Value, % Fixed of Equity, Stop Loss

อ้างอิง: D305 Position Sizing Models by Dr Van K Tharp