Podcast การจัดการเงินและความเสี่ยงสำหรับการเทรด: 3 Money

M3 Money เป็นส่วนสำคัญในการสร้างกลยุทธ์การเทรด โดยการจัดการเงินและความเสี่ยงที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาผลกำไรและลดความเสี่ยงในการขาดทุน ขั้นตอนนี้ประกอบด้วยการกำหนดขนาดของการลงทุน (Position Sizing), การคำนวณความเสี่ยงต่อพอร์ต (Portfolio Heat), และการตั้งค่า Stop Loss เพื่อปกป้องการลงทุน

หลักการใช้ Position Sizing

Position Sizing เป็นการกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการลงทุนในแต่ละตำแหน่งเพื่อให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ตัวอย่างการกำหนดขนาดของการลงทุน เช่น Fixed Shares, Fixed Value, %Risk of Equity และ %Volatility ซึ่งใช้เพื่อปรับความเสี่ยงตามความผันผวนของตลาด การตั้ง Position Sizing ที่เหมาะสมช่วยให้ผู้เรียนสามารถควบคุมความเสี่ยงของการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างเช่น การใช้ Fixed Value ช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการจัดการพอร์ตได้ตามความเหมาะสม ในขณะที่การใช้ %Risk of Equity ช่วยให้สามารถปรับขนาดการลงทุนให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ต้องการ ความหลากหลายใน Position Sizing ช่วยให้สามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมตามกลยุทธ์ที่ใช้

การควบคุม Portfolio Heat

Portfolio Heat เป็นการวัดระดับความเสี่ยงรวมของพอร์ตลงทุน ซึ่งคำนวณจากความเสี่ยงในแต่ละตำแหน่งในพอร์ต โดยในภาพรวม Portfolio Heat ที่ยอมรับได้ควรอยู่ในช่วง 15-25% ของ Equity ทั้งหมด การใช้ APH (Acceptable Portfolio Heat) ช่วยควบคุมความเสี่ยงโดยการหยุดเพิ่มตำแหน่งใหม่เมื่อ Portfolio Heat เกินขีดจำกัดที่กำหนดไว้ การคำนวณ Portfolio Heat ช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับสมดุลความเสี่ยงในพอร์ตตามสภาวะตลาด

เมื่อ Portfolio Heat สูงเกินระดับที่ยอมรับได้ การลดตำแหน่งที่มีความเสี่ยงสูงลง หรือใช้กลยุทธ์การแบ่งขายออกบางส่วนสามารถช่วยลด Portfolio Heat ได้ การใช้ APH อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้พอร์ตมีเสถียรภาพในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

ความสำคัญของ Stop Loss และ Stop Trailing

การตั้ง Stop Loss เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการป้องกันความเสี่ยงของการขาดทุนในกรณีที่ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยการตั้ง Stop Loss สามารถทำได้ตามเปอร์เซ็นต์ที่ยอมรับได้ เช่น 10% ของมูลค่าซื้อขาย นอกจากนี้ยังมีการใช้ Stop Trailing ซึ่งเป็นการเลื่อน Stop Loss ตามทิศทางราคาหุ้นเพื่อรักษาผลกำไร

การตั้ง Stop Trailing ช่วยให้เทรดเดอร์ล็อคกำไรบางส่วนได้ในขณะที่ตลาดเคลื่อนตัวในทิศทางที่ต้องการ โดยสามารถตั้งค่าให้ Stop Trailing เคลื่อนขึ้นตามราคาสูงสุดใหม่ ช่วยลดความเสี่ยงในกรณีที่ราคาหุ้นลดลงและรักษาผลกำไรที่เกิดขึ้น

การใช้ Equity Models ในการจัดการความเสี่ยง

Equity Models เป็นวิธีการจัดการเงินในพอร์ตเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะการลงทุนที่หลากหลาย ตัวอย่าง Equity Models ได้แก่ Total Equity, Cash Equity และ Secured Equity ซึ่งมีการปรับขนาดพอร์ตตามสภาวะตลาด การใช้ Equity Models ที่เหมาะสมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความสมดุลของพอร์ตและลดโอกาสในการขาดทุน

ตัวอย่างเช่น Total Equity ใช้กับพอร์ตที่ต้องการรักษาความสมดุลตลอดเวลา ในขณะที่ Secured Equity ใช้สำหรับการจัดการพอร์ตที่ต้องการลดความเสี่ยงจากการถือครองสินทรัพย์ที่มีความผันผวน การเลือกใช้ Equity Models ที่เหมาะสมช่วยให้พอร์ตมีความมั่นคงและสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ดีขึ้น

คำถาม

  1. เหตุใด Total Equity, Cash Equity และ Secured Equity จึงมีความสำคัญต่อการบริหารจัดการเงินทุนใน Trading System และควรเลือกใช้แบบใดในสถานการณ์ใด?
  2. Portfolio Heat (PH) และ Acceptable Portfolio Heat (APH) มีความสัมพันธ์กันอย่างไร และทำไมจึงต้องควบคุมไม่ให้ PH สูงเกิน APH?
  3. กฎ 2% Risk per Position และ 6% Risk per Month ของ Dr. Elder มีความสำคัญต่อการบริหารความเสี่ยงอย่างไร?
  4. การกำหนด Position Size ด้วยวิธี Fixed Shares, Fixed Value, %Fixed และ %Risk มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร?
  5. เหตุใดการคำนวณ Minimum Initial Capital และ Acceptable Drawdown จึงมีความสำคัญต่อการเริ่มต้นเป็น Full-time Trader?

สรุป

การจัดการเงินและความเสี่ยงใน M3 Money เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ Position Sizing, Portfolio Heat, Stop Loss และ Equity Models ในการรักษาสมดุลและลดความเสี่ยงในการลงทุน

คำสำคัญ: M3 Money, Position Sizing, Portfolio Heat, Stop Loss, Equity Models

อ้างอิง: D3-Podcast Money and Risk